“ปลาบู่ทอง” เป็นนิทานพื้นบ้านของไทยที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายที่สุดเรื่องหนึ่ง มีโครงเรื่องในลักษณะคล้ายกับนิทานเรื่อง “ซินเดอเรลล่า” ของตะวันตก เป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงคติธรรมและความเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมอย่างชัดเจน คือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ผ่านชะตาชีวิตของเด็กสาวผู้มีจิตใจดีงามนามว่า “เอื้อย”
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของปลาบู่ทองสามารถแบ่งออกเป็นช่วงสำคัญๆ ได้ดังนี้
ชีวิตของเอื้อย
เศรษฐีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งมีภรรยาและลูกสาวที่น่ารักนามว่า เอื้อย ทั้งสามอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ต่อมาไม่นานภรรยาของเศรษฐีก็ได้ล้มป่วยและเสียชีวิตลง เศรษฐีจึงได้แต่งงานใหม่กับ นางขนิษฐี ซึ่งมีลูกสาวติดมาด้วยสองคนคือ อ้าย และ อี่ ทันทีที่นางขนิษฐีเข้ามาอยู่ในบ้าน เธอกับลูกๆ ก็แสดงความร้ายกาจออกมา โดยบังคับให้เอื้อยทำงานหนักทุกอย่างเยี่ยงทาส และทุบตีเอื้อยอยู่เป็นประจำ
แม่ปลาบู่ทอง
เอื้อยเสียใจมากจึงได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ที่ท่าน้ำทุกวัน วิญญาณของแม่ผู้ล่วงลับเมื่อเห็นความทุกข์ของลูกสาวก็เกิดความสงสาร จึงได้ไปเกิดใหม่เป็น “ปลาบู่ทอง” เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆ และคอยปลอบใจเอื้อย ทุกๆ วัน เอื้อยจะแอบนำข้าวมาโปรยให้แม่ปลาบู่ทองที่ท่าน้ำ และทั้งสองก็จะพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แต่แล้วนางขนิษฐีก็สงสัยในพฤติกรรมของเอื้อย จึงได้ส่งอ้ายกับอี่ไปแอบดูและได้ล่วงรู้ความลับทั้งหมด ด้วยความอิจฉาริษยา นางขนิษฐีจึงได้หลอกให้เอื้อยไปเลี้ยงควายไกลบ้าน แล้วตนเองก็มาที่ท่าน้ำ เลียนเสียงของเอื้อยเพื่อเรียกแม่ปลาบู่ทองขึ้นมา แล้วจับไปฆ่าทำอาหาร และยังบังคับให้เอื้อยกินแกงปลาบู่โดยบอกว่าเป็นปลาอื่นอีกด้วย
โศกนาฏกรรมและการเกิดใหม่
เอื้อยเสียใจอย่างสุดซึ้ง เทวดาจึงได้แปลงกายมาเข้าฝันและบอกให้นำเกล็ดของแม่ปลาบู่ทองไปฝังไว้ในป่า เอื้อยทำตามคำแนะนำ และในไม่ช้าก็มี ต้นมะเขือ งอกงามขึ้นมาจากกองเถ้ากระดูกนั้น แต่เมื่อนางขนิษฐีรู้เข้า ก็ได้สั่งให้ถอนต้นมะเขือทิ้งและเผาทำลายเสีย
แต่เมล็ดมะเขือเมล็ดหนึ่งได้กระเด็นไปตกในอาศรมของพระฤาษี และได้เติบโตขึ้นเป็น ต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ที่งดงามอย่างน่าอัศจรรย์
วาสนาของเอื้อยและกรรมตามสนอง
อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวพรหมทัต ได้เสด็จประพาสป่าและได้พบกับต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง จึงมีรับสั่งให้นำกลับไปปลูกในวัง แต่ก็ไม่มีใครสามารถขุดต้นโพธิ์นั้นขึ้นมาได้ พระฤาษีจึงได้ทูลว่ามีเพียงเจ้าของที่แท้จริงเท่านั้นที่จะนำต้นโพธิ์ไปได้ ท้าวพรหมทัตจึงได้ประกาศให้หญิงสาวทั่วทั้งเมืองมาลองอธิษฐานจิต
นางขนิษฐีได้ส่งอ้ายและอี่ไป แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดเอื้อยก็ได้มีโอกาสไปอธิษฐาน และทันทีที่เอื้อยสัมผัส ต้นโพธิ์ก็เอนลงมาให้ขุดได้อย่างง่ายดาย ท้าวพรหมทัตเมื่อได้เห็นรูปโฉมและจิตใจอันดีงามของเอื้อย ก็ทรงตกหลุมรักและได้อภิเษกให้เป็นพระมเหสี
เรื่องราวยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อนางขนิษฐีรู้ว่าเอื้อยได้ดีก็ยิ่งริษยา จึงได้ออกอุบายหลอกให้เอื้อยกลับมาเยี่ยมบ้าน แล้วผลักตกไปในกระทะน้ำร้อนจนเสียชีวิต จากนั้นก็ได้ส่งอ้ายให้ปลอมตัวเข้าไปเป็นพระมเหสีแทน
วิญญาณของเอื้อยได้ไปเกิดใหม่เป็น นกแขกเต้า แล้วบินกลับเข้าไปในวังเพื่อเปิดโปงความจริงทั้งหมด ท้าวพรหมทัตเมื่อทรงทราบความจริงก็ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง และได้มีรับสั่งให้ลงโทษนางขนิษฐีและลูกสาวทั้งสองตามกฎมณเฑียรบาล ส่วนเอื้อยนั้นก็ได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาใหม่โดยพระฤาษีและได้กลับมาครองรักกับท้าวพรหมทัตอย่างมีความสุข
คติสอนใจ
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ปลาบู่ทอง นี้สอนให้รู้ว่า:
- กฎแห่งกรรมมีจริง: ผู้ที่ทำความดี มีความกตัญญู และอดทนอดกลั้นอย่างเอื้อย ย่อมได้รับผลดีในท้ายที่สุด ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่ว มีใจริษยาอาฆาตอย่างแม่เลี้ยงและลูกๆ ก็ย่อมได้รับผลกรรมอันสาสม
- ความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่: ความรักและความผูกพันของแม่ที่มีต่อลูกนั้นลึกซึ้ง จนสามารถกลับชาติมาเกิดเพื่อปกป้องดูแลลูกได้
- คุณค่าที่แท้จริงมาจากภายใน: แม้เอื้อยจะถูกกดขี่ข่มเหงและมีสภาพมอมแมม แต่คุณงามความดีภายในก็ได้ปรากฏออกมาและทำให้เธอได้พบกับความสุขในที่สุด
พุทธภาษิต
“กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ” (กันละยานะการี กันละยานัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง) คำแปล: ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี, ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว