กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกาตัวหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์และการลักขโมย มันมักจะบินไปทั่วเพื่อมองหาเศษอาหารหรือสิ่งของที่มนุษย์เผลอวางทิ้งไว้ และนำกลับมาเก็บไว้ที่รังของตนเองเสมอ
เนื้อเรื่อง
วันหนึ่ง ขณะที่กากำลังบินหาเหยื่ออยู่นั้น มันก็ได้เหลือบไปเห็นคนทำเนยแข็งกำลังนำเนยแข็งที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ออกมาตากไว้ที่ริมหน้าต่าง กลิ่นหอมของเนยแข็งได้ยั่วยวนให้กาอยากที่จะได้ลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง
มันจึงได้แอบบินเข้าไปโฉบเอาเนยแข็งก้อนที่ใหญ่ที่สุดแล้วรีบบินกลับไปยังรังของตนเองบนยอดไม้สูงด้วยความดีใจ
แต่ในขณะที่มันกำลังจะเริ่มจิกกินเนยแข็งอันโอชะนั้นเอง ก็ได้มีเชือกเส้นหนึ่งซึ่งถูกขึงไว้ใกล้ๆ รังของมันเพื่อดักจับนก ได้หลุดออกมาพันเข้ากับขาของมันอย่างจัง
ยิ่งกาพยายามที่จะดิ้นรนให้หลุดจากเชือกมากเท่าไหร่ เชือกก็ยิ่งรัดขาของมันแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้อีกต่อไป
ในขณะนั้นเอง คนทำเนยแข็งก็ได้สังเกตเห็นว่าเนยแข็งของตนได้หายไปและได้ออกตามหาจนมาพบกับกาที่กำลังติดเชือกดิ้นรนอยู่ เขาจึงได้จับตัวกาไว้อย่างง่ายดายแล้วพูดว่า
“เจ้ากาขี้ขโมย! ในที่สุดข้าก็จับเจ้าได้เสียที!”
พูดจบ เขาก็ได้นำกาไปขังไว้ในกรงเพื่อเป็นการลงโทษในความผิดที่มันได้ก่อไว้
คติสอนใจ
นิทานอีสป เรื่อง กากับเชือก นี้สอนให้รู้ว่า “ความสุขที่ได้มาจากการลักขโมยหรือการกระทำที่ไม่สุจริตนั้นเป็นเพียงความสุขชั่วคราว และสุดท้ายก็จะนำมาซึ่งความเดือดร้อนและหายนะแก่ตนเอง”
พุทธภาษิต
“อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ” (อัตตะนา วะ กะตัง ปาปัง, อัตตะนา สังกิลิสสะติ) คำแปล: ตนทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง