กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลาตัวหนึ่งกำลังบรรทุกฟืนกองใหญ่อย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อเจ้านายของมัน มันต้องเดินทางผ่านเส้นทางที่ขรุขระและเต็มไปด้วยโคลนตม ทำให้การเดินทางในวันนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งกว่าปกติ
เนื้อเรื่อง
ขณะที่ลากำลังเดินอย่างอ่อนล้าอยู่นั้นเอง มันก็ได้ก้าวพลาดและเสียหลักล้มลงไปในหนองน้ำที่อยู่ข้างทาง ด้วยน้ำหนักของกองฟืนที่อยู่บนหลัง ทำให้มันไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาเองได้ มันจึงได้แต่นอนแช่อยู่ในโคลนตมและเริ่มร้องคร่ำครวญถึงโชคร้ายของตนเอง
“โอ้! ข้าช่างเป็นสัตว์ที่โชคร้ายที่สุดในโลกอะไรเช่นนี้!” ลาร้องโอดครวญ “ข้าต้องทำงานหนักทุกวันไม่เคยได้หยุดพัก แล้วยังต้องมาประสบกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้อีก”
ในขณะนั้นเอง ฝูงกบที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำแห่งนั้นก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของลา พวกมันจึงพากันว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ กบชราตัวหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำฝูงได้เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านสหายเอ๋ย” กบชรากล่าว “ท่านเพิ่งจะตกลงมาในหนองน้ำนี้เพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ท่านก็ร้องคร่ำครวญถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“แล้วลองคิดดูสิว่า พวกข้าซึ่งเกิดและอาศัยอยู่ในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยโคลนตมแห่งนี้มาตลอดทั้งชีวิต พวกข้าจะต้องคร่ำครวญมากเพียงใดกัน?”
เมื่อลาได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง มันหยุดร้องคร่ำครวญในทันทีและได้เรียนรู้ว่ายังมีผู้อื่นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากที่มากกว่าตนเองอยู่เสมอ
คติสอนใจ
นิทานอีสป เรื่อง ลากับฝูงกบ นี้สอนให้รู้ว่า “ในยามที่เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าตนเองคือผู้ที่โชคร้ายที่สุด เพราะยังมีคนอีกมากมายที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าเราอยู่เสมอ”
พุทธภาษิต
“อตฺตานํ อุปมํ กเร” (อัตตานัง อุปะมัง กะเร) คำแปล: พึงเอาใจเขามาใส่ใจเรา


