“สังข์ทอง” เป็นวรรณคดีบทละครนอกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายที่สุดเรื่องหนึ่งของไทย มีเค้าโครงเรื่องมาจาก “สุวัณณสังขชาดก” ในปัญญาสชาดก ซึ่งเป็นชาดกนอกนิบาต สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการชำระดัดแปลงมาหลายครั้ง จนเป็นบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ที่สมบูรณ์และเป็นที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน เป็นเรื่องราวที่ให้คติสอนใจในหลากหลายแง่มุม โดยเฉพาะเรื่องการมองคนจากคุณค่าภายในมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
เนื้อเรื่อง (แบ่งตามช่วงชีวิตของพระสังข์)
เรื่องราวของสังข์ทองสามารถแบ่งออกเป็นช่วงสำคัญๆ ได้ดังนี้
ช่วงที่ 1: กำเนิดหอยสังข์
ณ เมืองยศวิมล ท้าวยศวิมล มีพระมเหสีสององค์คือ นางจันเทวี (มเหสีฝ่ายขวา) และ นางจันทา (มเหสีฝ่ายซ้าย) เมื่อนางจันเทวีทรงพระครรภ์และประสูติพระโอรสออกมาเป็นหอยสังข์ นางจันทาผู้มีใจริษยาจึงได้ติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์นั้นเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง ท้าวยศวิมลหลงเชื่อจึงได้ขับไล่นางจันเทวีและหอยสังข์ออกจากวังไป นางจันเทวีต้องไปอาศัยอยู่กับตายายที่กระท่อมปลายนานับตั้งแต่นั้น
ช่วงที่ 2: กำเนิดพระสังข์และชีวิตในวัยเยาว์
พระกุมารในหอยสังข์ หรือ “พระสังข์” ได้แอบออกมาจากหอยสังข์ในยามที่พระมารดาไม่อยู่เพื่อช่วยทำงานบ้านและหุงหาอาหาร จนกระทั่งวันหนึ่งนางจันเทวีแอบเห็น จึงได้ตัดสินใจทุบหอยสังข์เสียเพื่อไม่ให้พระโอรสกลับเข้าไปได้อีก ข่าวของพระสังข์ผู้มีรูปโฉมงดงามดุจทองคำได้ล่วงรู้ไปถึงนางจันทา นางจึงได้ส่งทหารตามไปเพื่อสังหารพระสังข์
นางจันเทวีจึงต้องพาพระสังข์หนีตายอีกครั้ง แต่ด้วยบุญญาธิการ เทวดาได้มาช่วยอุ้มพระสังข์ไปทิ้งไว้ที่อาศรมของ นางยักษ์พันธุรัต ซึ่งนางยักษ์ก็รักและเลี้ยงดูพระสังข์เหมือนลูกแท้ๆ วันหนึ่งพระสังข์ได้ล่วงรู้ว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์และได้พบของวิเศษในเขตหวงห้าม คือ รูปเงาะ, กระบอง, เกือกแก้ว (เหาะได้), และ บ่อทอง ที่สามารถชุบตัวให้เป็นสีทองได้ พระสังข์จึงได้ชุบตัวในบ่อทอง สวมรูปเงาะและของวิเศษต่างๆ แล้วหนีออกมา นางยักษ์พันธุรัตตามมาทันแต่เข้าเมืองมนุษย์ไม่ได้ จึงได้เขียน “มหาจินดามนตร์” ที่สามารถเรียกเนื้อเรียกปลาได้ไว้บนแผ่นศิลา ก่อนจะอกแตกตายด้วยความเสียใจ
ช่วงที่ 3: เจ้าเงาะได้นางรจนา
พระสังข์ในร่างของ “เจ้าเงาะ” ได้เดินทางมาจนถึงเมืองสามล ท้าวสามล และ พระนางมณฑา ผู้ครองเมืองมีพระธิดา 7 องค์ ซึ่งพระธิดา 6 องค์ได้อภิเษกสมรสไปหมดแล้ว เหลือเพียง นางรจนา พระธิดาองค์สุดท้อง ท้าวสามลจึงได้จัดพิธีเลือกคู่ให้นางรจนา โดยให้เจ้าชายจากทั่วทุกสารทิศมาให้ทรงเลือก แต่นางรจนากลับไม่พอพระทัยเจ้าชายองค์ใดเลย
ท้าวสามลทรงพิโรธจึงมีรับสั่งให้เกณฑ์ชายทุกคนในเมืองไม่เว้นแม้แต่คนยากจนหรือพิการมาให้พระธิดาเลือก ซึ่งเจ้าเงาะก็ถูกเกณฑ์มาด้วย แต่ด้วยบุญบารมีที่เคยเป็นเนื้อคู่กันมาแต่อดีตชาติ นางรจนาจึงสามารถมองเห็นรูปทองของพระสังข์ที่อยู่ภายในร่างเงาะได้ นางจึงได้เสี่ยงพวงมาลัยเลือกเจ้าเงาะเป็นคู่ครอง สร้างความพิโรธและอับอายให้แก่ท้าวสามลเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงได้ขับไล่ทั้งสองให้ไปอยู่กระท่อมปลายนานับแต่นั้น
ช่วงที่ 4: หาเนื้อหาปลาและตีคลี
ท้าวสามลพยายามหาทางกำจัดเจ้าเงาะ โดยได้สั่งให้เขยทั้งเจ็ด (รวมเจ้าเงาะ) ไปแข่งขันหาเนื้อหาปลามาถวาย หากใครหาไม่ได้จะถูกประหาร เขยทั้งหกต่างหาไม่ได้ แต่เจ้าเงาะได้ถอดรูปแล้วใช้มหาจินดามนตร์เรียกเนื้อเรียกปลามาได้อย่างง่ายดาย และได้ตัดหูตัดจมูกของเขยทั้งหกไว้เป็นหลักฐานก่อนจะแบ่งเนื้อปลาให้ไป
ต่อมา พระอินทร์ ได้แปลงกายลงมาท้าท้าวสามลตีคลี (กีฬาชนิดหนึ่ง) โดยมีบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ไม่มีใครในเมืองสามลสามารถสู้พระอินทร์ได้ ท้าวสามลจึงจำเป็นต้องไปขอร้องให้เจ้าเงาะช่วย เจ้าเงาะจึงได้ถอดรูปออก เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงคือ “พระสังข์ทอง” แล้วทรงเครื่องกษัตริย์เหาะไปตีคลีกับพระอินทร์จนได้รับชัยชนะ
ช่วงที่ 5: กลับคืนร่างทองครองเมือง
เมื่อทุกคนได้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงและความสามารถของพระสังข์ ท้าวสามลก็ทรงยอมรับในตัวพระสังข์และได้จัดพิธีอภิเษกให้อย่างยิ่งใหญ่ ต่อมาท้าวยศวิมลผู้เป็นพระบิดาได้เดินทางมาตามหาจนพบและได้ขอให้พระสังข์กลับไปครองเมืองยศวิมลสืบต่อไป
คติสอนใจ
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง สังข์ทอง ให้คติสอนใจที่สำคัญหลายประการ ได้แก่:
- อย่าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก: คุณค่าที่แท้จริงของคนอยู่ที่จิตใจและความดีงามภายใน ดั่งที่นางรจนามองเห็นรูปทองภายในของเจ้าเงาะ
- ความกตัญญูและความเพียรพยายาม: พระสังข์มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และมีความเพียรพยายามในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ
- ผลแห่งกรรม: เรื่องราวสะท้อนความเชื่อเรื่องบุญกรรมและเนื้อคู่ ผู้ที่ทำดีย่อมได้รับผลดีตอบสนอง
พุทธภาษิต
“ปญฺญา นรานํ รตนํ” (ปัญญา นะรานัง ระตะนัง) คำแปล: ปัญญาเป็นรัตนะ (แก้วมณี) ของนรชน