กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอูฐกับสุนัขจิ้งจอกเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งทั้งสองได้ชวนกันข้ามแม่น้ำเพื่อไปกินอ้อยและแตงโมในไร่ของชาวนาที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง ด้วยความที่สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กและว่ายน้ำไม่แข็ง อูฐผู้มีร่างกายสูงใหญ่จึงได้รับอาสาให้สุนัขจิ้งจอกขี่หลังข้ามแม่น้ำไป
เนื้อเรื่อง
เมื่อข้ามไปถึงอีกฝั่ง ทั้งสองก็ได้กินแตงโมและอ้อยในไร่ของชาวนาอย่างเอร็ดอร่อยจนอิ่มหนำสำราญ แต่หลังจากที่กินอิ่มแล้ว สุนัขจิ้งจอกก็เกิดนิสัยเดิมของมันขึ้นมา นั่นก็คือการส่งเสียงหอน
“ข้าทนไม่ไหวแล้วเพื่อน” สุนัขจิ้งจอกกล่าว “มันเป็นนิสัยของข้า ที่จะต้องหอนหลังอาหารมื้ออร่อย”
อูฐได้พยายามห้ามปรามเพื่อนของตนว่า “ช้าก่อนสหาย! หากเจ้าส่งเสียงดังออกไปตอนนี้ ชาวไร่จะต้องได้ยินและออกมาทำร้ายพวกเราเป็นแน่”
แต่สุนัขจิ้งจอกกลับไม่สนใจในคำเตือนนั้น มันยังคงส่งเสียงหอนอย่างต่อเนื่องจนชาวไร่ได้ยินและวิ่งออกมาพร้อมกับไม้พลอง ชาวไร่ได้ทุบตีสุนัขจิ้งจอกจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนอูฐนั้น ชาวไร่ไม่ได้ทำอะไรเพราะคิดว่าเป็นอูฐของตนเอง
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับ สุนัขจิ้งจอกผู้บาดเจ็บก็ได้ปีนขึ้นไปบนหลังอูฐอีกครั้งเพื่อที่จะข้ามแม่น้ำกลับไป แต่เมื่อเดินทางมาถึงกลางแม่น้ำซึ่งเป็นจุดที่น้ำลึกที่สุด อูฐก็ได้แกล้งทำเป็นจะล้มตัวลงนอนในน้ำ
สุนัขจิ้งจอกตกใจเป็นอย่างยิ่งจึงได้ร้องถามขึ้นว่า “ท่านจะทำอะไรน่ะเพื่อน! ข้ากำลังจะจมน้ำตายนะ!”
อูฐจึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ก็ไม่มีอะไรมาก… มันเป็นนิสัยของข้าเหมือนกัน ที่จะต้องอาบน้ำหลังอาหารมื้ออร่อย”
คติสอนใจ
นิทานอีสป เรื่อง อูฐในแม่น้ำ นี้สอนให้รู้ว่า “ผู้ที่ไม่ใส่ใจในความเดือดร้อนของผู้อื่นเพื่อความสุขของตนเอง ก็ย่อมจะได้รับผลตอบแทนที่เจ็บปวดในลักษณะเดียวกัน”
พุทธภาษิต
“ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ” (ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง) คำแปล: บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น