ในค่ำคืนอันเงียบสงบของฤดูร้อน ไส้เดือนตัวหนึ่งได้คลานขึ้นมาจากผืนดินอันมืดมิดและชื้นแฉะของตนเองเพื่อมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินกับความเย็นสบายยามค่ำคืนอยู่นั้นเอง มันก็ได้เห็นแสงสว่างอันงดงามของหิ่งห้อยตัวหนึ่ง
เนื้อเรื่อง
หิ่งห้อยตัวนั้นกำลังบินเปล่งประกายแสงสีเขียวนวลไปมาอย่างมีความสุข แสงของมันสว่างไสวราวกับอัญมณีที่ลอยได้ สร้างความงดงามให้แก่ค่ำคืนนั้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่แทนที่ไส้เดือนจะรู้สึกชื่นชมในความงามนั้น มันกลับรู้สึกอิจฉาริษยาในแสงสว่างของหิ่งห้อยอย่างรุนแรง มันเปรียบเทียบแสงนั้นกับชีวิตอันมืดมิดและต่ำต้อยของตนเองที่ต้องคลานอยู่ใต้ผืนดิน ความอิจฉาริษยาได้แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังและมันก็ได้ตัดสินใจที่จะดับแสงนั้นเสีย
ไส้เดือนได้คลานเข้าไปหาหิ่งห้อยแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอาฆาตว่า “เจ้าคือสัตว์ชนิดใดกัน? และเหตุใดเจ้าจึงได้ทำร้ายข้า?”
หิ่งห้อยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งจึงได้ตอบกลับไปว่า “ข้าคือหิ่งห้อย และข้าไม่เคยทำร้ายท่านเลยแม้แต่น้อย”
“ไม่จริง!” ไส้เดือนตะคอกกลับ “เจ้านั่นแหละที่ทำร้ายข้า!”
“แล้วข้าไปทำร้ายท่านตอนไหนกัน?” หิ่งห้อยถามด้วยความงุนงง
ไส้เดือนจึงได้ตอบกลับไปด้วยความเกลียดชังว่า “ก็การที่เจ้าเปล่งประกายแสงนั่นอย่างไรเล่า!”
คติสอนใจ
นิทานอีสป เรื่อง ไส้เดือนกับหิ่งห้อย นี้สอนให้รู้ว่า “ความอิจฉาริษยาเป็นอารมณ์ที่มืดบอดและไร้เหตุผล มันสามารถทำให้คนบางคนเกลียดชังและอยากจะทำลายผู้อื่นได้ เพียงเพราะผู้นั้นมีความดีเด่นหรือคุณสมบัติที่ตนเองไม่มี”
พุทธภาษิต
“อิสฺสา วินาสาย มุขํ” (อิสสา วินาสายะ มุขัง) คำแปล: ความริษยา เป็นปากทางแห่งความวินาศ