กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและความว่องไว ได้ออกไล่ล่ากระต่ายป่าตัวหนึ่งไปทั่วทั้งทุ่งกว้าง การไล่ล่าเป็นไปอย่างดุเดือดและกินเวลายาวนาน แต่สุดท้ายแล้วสุนัขล่าเนื้อก็ต้องยอมแพ้ต่อความเร็วของกระต่ายป่า
เนื้อเรื่อง
หลังจากที่ไล่ล่ามาเป็นเวลานานจนเหนื่อยหอบ สุนัขล่าเนื้อก็ไม่สามารถที่จะตามกระต่ายป่าได้ทันอีกต่อไปและได้ปล่อยให้มันวิ่งหนีรอดไปได้ในที่สุด
คนเลี้ยงแพะคนหนึ่งซึ่งนั่งมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าสุนัขล่าเนื้อผู้ยิ่งใหญ่ต้องพ่ายแพ้ให้กับกระต่ายป่าตัวเล็กๆ ก็รู้สึกขบขันและได้เดินเข้าไปพูดเยาะเย้ยว่า
“ฮ่าๆๆ! เจ้าช่างน่าสมเพชเสียจริงนะ” คนเลี้ยงแพะกล่าว “สัตว์ที่ตัวเล็กกว่ากลับวิ่งได้เร็วกว่าเจ้าผู้มีร่างกายใหญ่โตและแข็งแรงกว่าเสียอีก”
สุนัขล่าเนื้อเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หยุดพักหายใจแล้วตอบกลับไปว่า
“ท่านไม่เข้าใจหรอก… ท่านไม่เห็นความแตกต่างของแรงจูงใจในการวิ่งของพวกเราหรือ?”
“ข้านั้นวิ่งเพื่ออาหารมื้อเย็นเพียงมื้อเดียว แต่กระต่ายป่าตัวนั้น… มันวิ่งเพื่อชีวิตทั้งชีวิตของมัน”
คติสอนใจ
นิทานอีสป เรื่อง สุนัขกับกระต่ายป่า นี้สอนให้รู้ว่า “แรงจูงใจคือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด ผู้ที่ต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของตนเอง ย่อมมีพลังและความมุ่งมั่นที่เหนือกว่าผู้ที่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย”
พุทธภาษิต
“ฉนฺโท วิริยํ วฑฺฒติ” (ฉันโท วิริยัง วัฑฒะติ) คำแปล: ฉันทะ (ความพอใจ) เป็นเครื่องเพิ่มพูนความเพียร