กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวประมงคนหนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่ริมแม่น้ำอย่างอดทน เขาใช้เวลาไปเกือบทั้งวันแต่ก็ยังไม่สามารถจับปลาตัวใหญ่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว จนกระทั่งในที่สุด คันเบ็ดของเขาก็กระตุกอย่างแรง
เนื้อเรื่อง
ชาวประมงรีบดึงคันเบ็ดขึ้นมาด้วยความดีใจ แต่เขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าปลาที่ติดเบ็ดขึ้นมานั้นเป็นเพียงปลาตัวเล็กๆ เท่านั้น ขณะที่เขากำลังจะปลดปลาออกจากเบ็ดเพื่อนำไปทำเป็นอาหารนั้นเอง ปลาตัวน้อยผู้โชคร้ายก็ได้เอ่ยปากอ้อนวอนขอชีวิตขึ้นมาว่า
“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดท่านชาวประมง!” ปลาตัวน้อยพูด “ตอนนี้ข้ายังตัวเล็กเกินไป ท่านนำข้าไปก็คงจะไม่อิ่มท้องของท่านหรอก สู้ท่านปล่อยข้ากลับลงไปในแม่น้ำ แล้วรอให้ข้าเติบใหญ่เสียก่อนจะไม่ดีกว่าหรือ? หากท่านทำเช่นนั้น เมื่อข้าเติบโตขึ้นเป็นปลาตัวใหญ่แล้ว ข้าจะกลับมาให้ท่านจับอีกครั้ง ท่านก็จะได้อาหารมื้อใหญ่ที่คุ้มค่ากว่าเป็นไหนๆ”
แต่ชาวประมงผู้มีประสบการณ์กลับหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า
“เจ้าปลาโง่เอ๋ย! ข้าอาจจะดูโง่ในสายตาของเจ้าที่เลือกจะเอาปลาตัวเล็กๆ เช่นเจ้าไปในวันนี้ แต่ข้าคงจะโง่ยิ่งกว่าหากข้ายอมปล่อยเจ้าไปเพื่อหวังจะได้ปลาตัวใหญ่ในอนาคตที่ไม่แน่นอน”
“นกในกำมือตัวเดียวย่อมดีกว่านกในพุ่มไม้สองตัวเสมอ”
พูดจบ เขาก็ได้ปลดปลาตัวน้อยออกจากเบ็ดแล้วนำมันกลับบ้านไปโดยไม่ฟังคำอ้อนวอนอีกต่อไป
คติสอนใจ
นิทานอีสป เรื่อง ปลาน้อยกับคนตกปลา นี้สอนให้รู้ว่า “ประโยชน์เพียงเล็กน้อยที่ได้รับอย่างแน่นอนในปัจจุบัน ย่อมมีค่ามากกว่าประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคตซึ่งยังมาไม่ถึงและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน”
พุทธภาษิต
“อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ” (อะตีตัง นานะวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง) คำแปล: ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง