นิทานชาดก เรื่อง ติตติรชาดก (นกกระทา ลิง และช้าง) พร้อมข้อคิดสอนใจ

นิทานชาดก เรื่อง ติตติรชาดก (นกกระทา ลิง และช้าง) พร้อมข้อคิดสอนใจ

ติตติรชาดก เป็นนิทานชาดกที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเล่าถึงอดีตชาติของพระองค์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นนกกระทา เพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ของการให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำมาซึ่งความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของหมู่คณะ

เนื้อเรื่อง

ในอดีตกาล ณ ป่าใหญ่แถบภูเขาหิมาลัย มีสัตว์สหายสามเกลออาศัยอยู่ร่วมกันที่ใต้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ประกอบด้วย นกกระทาตัวหนึ่ง, ลิงตัวหนึ่ง, และช้างตัวหนึ่ง แต่เดิมนั้น สัตว์ทั้งสามต่างอยู่ร่วมกันโดยไม่มีความเคารพยำเกรงซึ่งกันและกัน ต่างถือว่าตนเองมีดีในด้านต่างๆ ทำให้ขาดความสามัคคีปรองดอง

ต่อมา สัตว์ทั้งสามได้เกิดสติปัญญาขึ้นมาว่าการอยู่ร่วมกันโดยไม่มีผู้นำและไม่ให้เกียรติกันนั้นไม่สมควร จึงได้ตกลงกันว่าจะให้ความเคารพแก่ผู้ที่มีอาวุโสที่สุดในหมู่พวกเขา และได้ใช้วิธีสอบถามความทรงจำแรกที่มีต่อต้นไทรใหญ่ต้นนี้เพื่อตัดสินว่าใครคือผู้ที่อาวุโสที่สุด

พญาช้างได้กล่าวขึ้นเป็นตัวแรกว่า “สหายทั้งหลาย ตอนที่ข้ายังเป็นลูกช้างเล็กๆ ข้าจำได้ว่าต้นไทรต้นนี้สูงเพียงแค่ท้องของข้าเท่านั้น ข้าสามารถเดินข้ามไปมาได้อย่างสบาย”

ลิงได้กล่าวต่อไปว่า “ส่วนข้านั้น ตอนที่ข้ายังเล็ก ข้าสามารถนั่งยองๆ บนพื้นแล้วใช้มือเด็ดยอดอ่อนของต้นไทรต้นนี้กินเล่นได้เลย” ซึ่งหมายความว่าลิงนั้นอาวุโสกว่าช้าง เพราะเกิดทันเห็นต้นไทรยังเป็นเพียงต้นกล้าเล็กๆ

สุดท้าย นกกระทา (พระโพธิสัตว์) จึงได้กล่าวขึ้นว่า “สหายเอ๋ย ในอดีตอันไกลโพ้น ที่ตรงนี้ยังไม่มีต้นไทรต้นนี้อยู่เลย ข้าได้ไปกินผลไทรจากต้นใหญ่อีกต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป แล้วบินมาถ่ายมูลไว้ ณ ที่แห่งนี้ ต้นไทรที่พวกท่านเห็นอยู่นี้ก็ได้งอกงามขึ้นมาจากเมล็ดในมูลของข้านั่นเอง ดังนั้น ข้าย่อมเกิดก่อนต้นไทรต้นนี้เสียอีก”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ทั้งลิงและช้างจึงได้ยอมรับโดยดุษฎีว่านกกระทาคือผู้ที่มีอาวุโสสูงสุด และได้ให้ความเคารพกราบไหว้พร้อมทั้งปฏิบัติตามโอวาทของนกกระทาแต่นั้นมา นกกระทาได้สอนให้สหายทั้งสองตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ทำให้เกิดความสงบสุขและความสามัคคีปรองดองขึ้นในหมู่พวกเขา ซึ่งเป็นแบบอย่างให้สัตว์อื่นๆ ในป่าได้ปฏิบัติตามไปด้วย

คติสอนใจ

นิทานชาดก เรื่อง ติตติรชาดก (นกกระทา ลิง และช้าง) นี้สอนให้รู้ว่า “การให้ความเคารพและนอบน้อมต่อผู้ที่มีอาวุโสกว่า ไม่ได้วัดกันที่ขนาดร่างกายหรือพละกำลัง แต่คือการยอมรับในคุณธรรมและประสบการณ์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำมาซึ่งความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของหมู่คณะ”

พุทธภาษิต

“อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ” (อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง) คำแปล: ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่ผู้มีปกติไหว้กราบและอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์