กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกแพะตัวหนึ่งเดินเตร็ดเตร่จนพลัดหลงจากฝูงและแม่ของมัน ด้วยความไร้เดียงสา มันจึงเดินเล็มหญ้าอ่อนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่ามีหมาป่าเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งกำลังแอบซุ่มมองมันอยู่จากหลังพุ่มไม้
เนื้อเรื่อง
เมื่อสบโอกาส หมาป่าก็ได้กระโจนออกมาจากที่ซ่อนและเข้าขวางทางลูกแพะไว้ ลูกแพะเมื่อเห็นว่าตนเองสิ้นหนทางหนีและกำลังจะกลายเป็นอาหารของหมาป่าอย่างแน่นอนแล้ว แทนที่มันจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว มันกลับรวบรวมสติและความกล้าหาญทั้งหมดที่มีแล้วพูดกับหมาป่าขึ้นว่า
“ท่านหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารู้ดีว่าข้าคงหนีไม่พ้นและจะต้องกลายเป็นอาหารของท่านในวันนี้” ลูกแพะกล่าว “แต่ก่อนที่ข้าจะตาย ข้ามีคำขอสุดท้ายอย่างหนึ่งจะได้หรือไม่ ข้าอยากจะฟังเสียงขลุ่ยอันไพเราะของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่ข้าจะได้เต้นรำอย่างมีความสุขก่อนที่จะลาโลกนี้ไป”
หมาป่าเมื่อได้ฟังคำเยินยอและคำขออันแปลกประหลาดของลูกแพะก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง มันจึงหยิบขลุ่ยขึ้นมาแล้วบรรเลงเพลงอย่างสุดฝีมือ
ลูกแพะก็ได้เริ่มเต้นรำไปตามจังหวะเสียงขลุ่ยอย่างสนุกสนาน เสียงขลุ่ยและเสียงกระดิ่งที่คอของลูกแพะดังไปไกลจนกระทั่งฝูงสุนัขเลี้ยงแกะที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเข้า พวกมันจึงรีบวิ่งตรงมายังต้นเสียงในทันที
หมาป่าเมื่อเห็นฝูงสุนัขเลี้ยงแกะกำลังวิ่งตรงเข้ามาก็ตกใจเป็นอย่างยิ่งและรีบวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงหายเข้าไปในป่าโดยไม่คิดชีวิต มันได้แต่รำพึงกับตนเองด้วยความเจ็บใจว่า
“ช่างน่าเจ็บใจนัก! ข้ามันโง่เองที่หลงเชื่อคำพูดของลูกแพะ แทนที่ข้าจะเป็นนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ ข้ากลับทำตัวเป็นนักดนตรีเป่าขลุ่ยไปได้”
คติสอนใจ
นิทานอีสป เรื่อง ลูกแพะกับหมาป่า นี้สอนให้รู้ว่า “ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สติปัญญาและไหวพริบปฏิภาณอาจเป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่ช่วยให้เราสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันได้”
พุทธภาษิต
“ปญฺญาชีวึ ชีวิตมาหุ เสฏฺฐํ” (ปัญญาชีวิง ชีวิตะมาหุ เสฏฐัง) คำแปล: ผู้ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปัญญา คือผู้มีชีวิตที่ประเสริฐสุด

					
